ไทระ คิโยโมริ พญามารแห่งตระกูลไทระ
ช่วงที่มีอำนาจสูงสุดของตระกูลไทระคือช่วงของ ไทระ โนะ คิโยโมริ กลายเป็นหัวหน้าตระกูลและเข้ายึดอำนาจในการเมืองญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 12 คิโยโมริรับราชการเป็นทหารองค์รักษ์อยู่ในพระราชวัง ใน ค.ศ. 1146 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองแคว้นอะกิ จนกระทั่งในค.ศ. 1153 ทาดาโมริผู้เป็นบิดาได้เสียชีวิตลง คิโยโมริจึงขึ้นเป็นโทเรียว หรือประมุขตระกูลไทระต่อมา
จักรพรรดิโทะบะ ทรงสละราชสมบัติแต่ยังทรงอำนาจการปกครองอยู่และทรงอำนาจสูงสุด อดีตจักรพรรดิโทะบะจึงทรงบังคับให้องค์จักรพรรดิซึ่งในขณะนั้นคือ จักรพรรดิซุโตะกุ ให้สละราชสมบัติลงมากลายเป็น โจโก หรือ จักรพรรดิสละราชย์ แล้วให้พระโอรสที่เกิดแต่พระนางนะริโกะสนมองค์โปรด ขึ้นเป็น จักรพรรดิโคะโนะเอะ ใน ค.ศ. 1142 แต่ทว่าจักรพรรดิโคะโนะเอะอยู่ในราชสมบัติได้สิบสามปีก็สวรรคตใน ค.ศ. 1155 ทำให้อดีตจักรพรรดิซุโตะกุ ทรงคาดหวังว่าราชบัลลังก์จะตกเป็นของพระโอรส คือ เจ้าชายชิเงฮิโตะ แต่อดีตจักรพรรดิโทะบะ กลับทรงมอบราชสมบัติให้แก่พระโอรสอีกองค์หนึ่งขึ้นครองราชย์เป็น จักรพรรดิโกะ-ชิระกะวะ สร้างความคับแค้นใจอย่างมาก
“กบฏโฮเง็ง” เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1156 เป็นปีที่อดีตจักรพรรดิโทะบะสวรรคต ทัพของฝ่ายจักรพรรดิโกะ ชิระกะวะ ประกอบด้วย ไทระ โนะ คิโยโมริ และ มินะโมะโตะ โนะ โยะชิโตะโมะ ได้เสนอแผนการยกทัพโจมตีฝ่ายอดีตจักรพรรดิซุโตะกุที่ตำหนักชิระกะวะในเวลากลางคืนเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว ทัพของคิโยโมริจึงยกไปในตอนกลางคืน จนได้รับชัยชนะสามารถเข้ายึดและเผาตำหนักชิระกะวะได้ อดีตจักรพรรดิซุโตะกุทรงถูกเนรเทศ
การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิโกะ-ชิระกะวะ ทำให้ขุนนางข้ารับใช้คนสนิทของจักรพรรดิคือ พระภิกษุชินเซ ขึ้นมามีอำนาจในราชสำนัก พระภิกษุชินเซให้การสนับสนุนคิโยโมริอย่างมาก โดยผลักดันให้คิโยโมริได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้ปกครองเกาะคีวชู ในค.ศ. 1158 แต่การขึ้นสู่อำนาจของพระภิกษุชินเซสร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางคนอื่นๆ
ค.ศ. 1158 จักรพรรดิโกะ ชิระกะวะทรงสละราชสมบัติให้พระโอรสขึ้นครองราชย์ต่อเป็นจักรพรรดินิโจ ค.ศ. 1160 ในขณะที่คิโยโมริได้เดินทางออกจากเมืองเฮอังเพื่อทำการคารวะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นอกเมือง ฟุจิวะระ โนะ โนะบุโยะริ จึงวางแผนร่วมกับ มินะโมะโตะ โนะ โยะชิโตะโมะ ในการก่อการยึดอำนาจการกบฏครั้งนี้เรียกว่า กบฏเฮจิ และทำการสังหารพระภิกษุชินเซ แล้วควบคุมองค์อดีตจักรพรรดิไว้
ฝ่ายคิโยโมริทราบข่าวเหตุการณ์ในเมืองเฮอังจึงรีบเดินทางกลับมาจากนั้นคิโยโมริจึงนำทัพเข้าโจมตีจนทัพฝ่ายโยะชิโตะโมะพ่ายแพ้ โนะบุโยะริถูกสังหารที่รบ ส่วนโยะชิโตะโมะหลบหนีเข้าป่าไป ถูกข้ารับใช้ของตนเองสังหาร เมื่อสิ้นสุดสงครามเฮจิแล้วทำให้คิโยโมริมีความดีความชอบมากขึ้นมากลายเป็นผู้มีอำนาจในราชสำนักเมืองเฮอัง
จักรพรรดินิโจมีพระโอรสในที่สุดเมื่อค.ศ. 1164 จึงทรงรีบชิงสละราชสมบัติให้แก่พระโอรสของพระองค์เอง ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโระกุโจในค.ศ. 1165 แล้วจักรพรรดินิโจก็สวรรคตในปีเดียวกัน ค.ศ. 1167 คิโยโมริขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในราชสำนักรองจากผู้สำเร็จราชการคือ ไดโจไดจิง แต่ทว่าคิโยโมริอยู่ในตำแหน่งไดโจไดจิงได้เพียงสามเดือนก็ล้มป่วยลงจนต้องลาออกจากตำแหน่งและบรรพชาเป็นพระภิกษุ
ความสัมพันธ์ระหว่างคิโยโมริกับอดีตจักรพรรดิโกะ ชิระกะวะ เริ่มไปกันไม่รอด คิโยโมริไม่พอใจจักรพรรดิโกะ ชิระกะวะเป็นอย่างมาก จึงทำการยึดอำนาจจากอดีตจักรพรรดิในค.ศ. 1179 กุมขังอดีตจักรพรรดิเอาไว้ รวมทั้งปลดขุนนางระดับสูงในราชสำนักเฮอังออกทั้งหมดตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการลงมา แล้วแต่งตั้งขุนนางจากตระกูลไทระเข้าไปแทนที่ขุนนางเหล่านั้น
ในปีต่อมาค.ศ. 1180 คิโยโมริได้บังคับให้จักรพรรดิทะกะกุระทรงสละราชบัลลังก์ แล้วให้พระโอรสที่เกิดแต่จักรพรรดินีโทะกุโกะซึ่งมีพระชนมายุเพียงสองปี ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิอันโตะกุ เท่ากับว่าคิโยโมริมีศักดิ์เป็นพระอัยกา (ตา) ของจักรพรรดิ แล้วคิโยโมริจึงพาอดีตจักรพรรดิทะกะกุระเสด็จไปกราบไหว้ศาลเจ้าอิสึกุชิมะ ทางตะวันตกใกล้กับเมืองฮิโรชิม่าในปัจจุบัน ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่ตระกูลไทระให้การสนับสนุน แทนที่จะเป็นศาลเจ้าหลวงใกล้กับเมืองเฮอัง
คิโยโมริก็ได้ล้มป่วยลงจนถึงแก่อสัญกรรมด้วยอายุ 63 ปี ในช่วงสงครามเก็มเป สงครามครั้งนี้ทำให้ตระกูลไทระพ่ายแพ้และต้องสูญสิ้นอำนาจ และสถาปนารัฐบาลโชกุนคามากูระภายใต้การนำของมินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ ผู้แต่งตั้งตนเองเป็น โชกุน ใน ค.ศ. 1192 ปกครองญี่ปุ่นในฐานะเผด็จการทหารจากนครฝั่งตะวันออกของคามากูระ