อเมริกาบังคับญี่ปุ่น เปิดประเทศ
หลังจากญี่ปุ่นได้สิ้นสุดยุคสงครามกลางเมืองในยุคเซ็งโงกุ โทกูงาวะ อิเอยาซุ ได้ขึ้นมามีอำนาจและตั้งรัฐบาลเอโดะที่ปกครองโดยระบอบโชกุน มีอภิสิทธิ์ให้ตระกูลโทกูงาวะผลัดขึ้นเป็นโชกุนต่อเนื่องกันหลายชั่วอายุคน โดยที่จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงไม่มีพระราชอำนาจทางการเมือง รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะได้ให้ประเทศญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศ เป็นระยะเวลาเกือบ 200 ปีภายใต้ระบอบการปกครองของเหล่าโชกุน แห่งยุคเอะโดะ
จนอำนาจรัฐบาลโชกุนมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อญี่ปุ่นโดนเรือรบอเมริกานำโดยพลเรือแมทธิว ซี. เพอร์รี ยกกองเรือมาปิดปากอ่าวบังคับให้ทำสนธิสัญญายอมเปิดประเทศ รัฐบาลโชกุนของญี่ปุ่นถูกบังคับให้เปิดประเทศเพื่อการค้าโดยการทำสนธิสัญญาคานางาวะ ในปี ค.ศ. 1854 ทำให้รัฐบาลโทกูงาวะเริ่มเสื่อมอำนาจลง ดังนั้นจึงเริ่มเรียกระยะเวลาในช่วงนี้ว่าบากูมัตสึ
สนธิสัญญาคานางาวะเป็นสนธิสัญญาที่ได้ทำขึ้นระหว่างพลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลเอโดะ สนธิสัญญาดังกล่าวมีผลให้ญี่ปุ่นต้องเปิดเมืองท่าชิโมดะและฮาโกดาเตะให้ค้าขายกับสหรัฐอเมริกาและรับประกันความปลอดภัยของกะลาสีเรือชาวอเมริกัน อย่างไรก็ตาม สนธิสัญญาได้วางรากฐานสำหรับสหรัฐในการรักษากงสุลถาวรในชิโมดะ การมาถึงของกองเรือของเพอร์รีนำมาซึ่งการสิ้นสุดของนโยบายตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลา 200 ปีของญี่ปุ่น
เพอร์รีปฏิเสธที่จะเจรจากับเจ้าหน้าที่ทางการของญี่ปุ่นและต้องการเจรจากับประมุขแห่งรัฐของญี่ปุ่นโดยตรง ในเวลานั้น โทกูงาวะ อิเอโยชิ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของญี่ปุ่น และไม่เคยมีธรรมเนียมที่จักรพรรดิจะทรงมีพระราชปฏิสัณฐารกับชาวต่างชาติโดยตรง เพอร์รีจึงเจรจาความกับ ฮิระชิ อะกิระ ผู้ถืออำนาจเต็มแทนโชกุน และจึงถวายหนังสือสัญญาให้จักรพรรดิโคเมทรงลงพระนามรับรอง
สนธิสัญญาคานางาวะ ตามมาด้วยสนธิสัญญาสัมพันธไมตรีและการค้า ซึ่งอนุญาตให้สัมปทานแก่ชาวต่างประเทศ การมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ชาวต่างประเทศ และการจำกัดภาษีขาเข้าของสินค้า ญี่ปุ่นในเวลาต่อมาจะอยู่ภายใต้ ระบบสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม