June 12, 2025

นันทบุเรง ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา

0

ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง กษัตริย์พม่าผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากบุเรงนอง ได้ยกกองทัพใหญ่เข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากเคยมีชัยชนะในสมัยก่อนหน้านั้น การรุกรานครั้งนี้เกิดขึ้นในบริบทที่ราชสำนักไทยรับรู้ล่วงหน้าและมีเวลารับมืออย่างเต็มที่ ซึ่งแตกต่างจากหลายศึกที่ผ่านมา

การเตรียมการของพม่านั้นเริ่มตั้งแต่ปีก่อน กองทัพพระมหาอุปราชาได้ตั้งมั่นที่เมืองเหนือเพื่อเตรียมทำนาไว้เลี้ยงไพร่พล และในเดือน 12 ปีจอ พ.ศ. 2129 พระเจ้าหงสาวดีก็ยกกองทัพหลวงลงมาเข้าร่วมกับกองทัพอื่น ๆ รวมทั้งพระมหาอุปราชาและพระเจ้าตองอู รวมจำนวนไพร่พลประมาณ 250,000 นาย แบ่งเป็นสามทัพใหญ่ พระเจ้าเชียงใหม่แม้ร่วมศึกด้วย แต่ถูกลดบทบาทให้ทำหน้าที่ขนเสบียง เพราะเคยพ่ายแพ้ให้แก่ไทย

เมื่อรวมพลที่เมืองกำแพงเพชรเรียบร้อย กองทัพพม่าจึงเคลื่อนพลลงมา โดยพระเจ้าหงสาวดียกทางฝั่งตะวันตก พระเจ้าตองอูยกทางฝั่งตะวันออก และพระมหาอุปราชายกเข้าทางเมืองลพบุรีและสระบุรี จนมารวมกันล้อมกรุงศรีอยุธยาทางทิศเหนือและตะวันออกในเดือนยี่ของปีถัดไป

ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาเตรียมตัวรับมืออย่างรัดกุม เพราะทราบล่วงหน้าว่าศึกใหญ่กำลังจะมา การเตรียมการมีทั้งการเกณฑ์คนเก็บเกี่ยวข้าว ตัดเส้นทางลำเลียงของข้าศึก และปล่อยพื้นที่ทางเหนือให้ข้าศึกยึดไปโดยไม่เปลืองกำลัง เพื่อรักษาพระนครเป็นหลัก ไทยยังได้ส่งทหารอาสาออกไปจัดตั้งกองโจรคอยตีตัดลำเลียงเสบียงของข้าศึก ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทัพพม่าเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อเวลาผ่านไป

กองทัพพม่าตั้งค่ายล้อมพระนครอย่างแน่นหนา พยายามเข้าตีหลายครั้งแต่ไม่สามารถเจาะแนวป้องกันของไทยได้ พม่าต้องเผชิญกับการตอบโต้รุนแรงและกองโจรที่คอยซุ่มโจมตีเสบียงอยู่ตลอด สถานการณ์เริ่มพลิกกลับเมื่อความอดอยากและโรคภัยเริ่มแพร่ระบาดในกองทัพพม่า

สมเด็จพระนเรศวรซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชา เสด็จนำทัพออกตีค่ายพม่าหลายครั้งด้วยพระองค์เอง ในคราวหนึ่งทรงคาบพระแสงดาบขึ้นระเนียดหมายจะบุกค่ายหลวงพระเจ้าหงสาวดี แต่ถูกแทงตกลงมา จึงต้องถอยกลับ พระแสงดาบที่ทรงใช้ในครั้งนั้นได้รับนามว่า “พระแสงดาบคาบค่าย”

พระเจ้าหงสาวดีทรงโกรธและประหลาดใจในความกล้าหาญของพระนเรศวร ถึงกับตรัสว่า “เอาพิมเสนมาแลกเกลือ” และสั่งให้ส่งนายทหารฝีมือดีชื่อ “ลักไวทำมู” พร้อมทหารหมื่นนาย มาซุ่มดักจับพระนเรศวร หากเสด็จออกมานอกค่ายอีก

ในเดือนถัดมา สมเด็จพระนเรศวรเสด็จออกไปตั้งซุ่มทัพที่ทุ่งลุมพลี เมื่อพระยาทหารพม่าล่อให้เสด็จเข้าสู่กับดัก ลักไวทำมูและทหารพม่าก็กรูกันออกล้อมไว้ แต่พระนเรศวรทรงต่อสู้อย่างกล้าหาญ จนสามารถสังหารลักไวทำมูและนายทหารคนสำคัญอีกนาย ก่อนที่กองทัพไทยจะตามมาช่วยพาพระองค์กลับเข้าพระนครได้

ในเดือน 5 แรม 14 ค่ำ สมเด็จพระนเรศวรทรงนำทัพเรือตีค่ายพระมหาอุปราชาจนพม่าแตกถอยลงใต้ สถานการณ์เริ่มเปลี่ยน พระเจ้าหงสาวดีซึ่งตั้งล้อมพระนครมากว่า 5 เดือน ไม่สามารถยึดกรุงได้ แถมต้องเผชิญโรคภัยและความอดอยาก จึงตัดสินใจถอนทัพกลับไป

สมเด็จพระนเรศวรไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย ทรงสั่งระดมยิงปืนใหญ่ใส่ค่ายหลวงพม่าจากเรือสำเภา และยกทัพเรือไล่ตีไปจนถึงป่าโมก แม้ไม่สามารถตีแตกได้ทั้งหมด แต่ก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้พม่า

แม้บางพงศาวดารไทยกล่าวว่าพม่ากลับมาโจมตีอีกรอบในปลายปี พ.ศ. 2130 แต่หลักฐานจากพงศาวดารพม่าระบุว่าการยกทัพครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และนับเป็นหนึ่งในชัยชนะครั้งสำคัญของกรุงศรีอยุธยา ที่เกิดจากการวางแผนล่วงหน้า การสร้างเครือข่ายกองโจร และความกล้าหาญของผู้นำอย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช.

About The Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *