เยอรมนีปิดน่านฟ้าบีบอังกฤษ

ยุทธการแห่งบริเตน (Battle of Britain) เป็นหนึ่งในการรบใหญ่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กองทัพอากาศอังกฤษ (RAF) และกองบินของราชนาวีต้องร่วมมือกันป้องกันสหราชอาณาจักรจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพอากาศเยอรมนี (Luftwaffe) การรบครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม ถึง 31 ตุลาคม 1940 และถือเป็นครั้งแรกที่มีการรบขนาดใหญ่เกิดขึ้นโดยใช้กำลังทางอากาศล้วน ๆ
ฝ่ายอังกฤษมองว่ายุทธการนี้ครอบคลุมไปถึงช่วงที่ถูกทิ้งระเบิดกลางคืน หรือที่เรียกว่า The Blitz ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 1940 ถึง 11 พฤษภาคม 1941 ขณะที่นักประวัติศาสตร์เยอรมันมองว่านี่เป็นการรบแบบต่อเนื่องเดียวกันไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 1941 เลย
เป้าหมายหลักของเยอรมนีคือหวังจะบีบให้อังกฤษยอมลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพ เดือนกรกฎาคม 1940 พวกเขาเริ่มโจมตีทางทะเลและทางอากาศ โดยเน้นที่เรือขนส่งสินค้าและท่าเรือต่าง ๆ จากนั้นในเดือนสิงหาคม เยอรมนีเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีสนามบินของ RAF และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ พอยุทธการดำเนินไป ลุฟท์วาฟเฟอก็ขยายการโจมตีไปถึงโรงงาน และในที่สุดก็หันมาใช้วิธีทิ้งระเบิดพื้นที่พลเรือนเพื่อสร้างความหวาดกลัว
ก่อนหน้านั้น เยอรมนีสามารถเอาชนะประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อังกฤษดูเหมือนจะเสี่ยงถูกบุกเต็มตัว แต่เพราะการบุกทางทะเลมีอุปสรรคหลายอย่าง ฮิตเลอร์จึงสั่งเตรียมแผน “Operation Sea Lion” เพื่อรุกรานอังกฤษ แต่เพราะลุฟท์วาฟเฟอไม่สามารถควบคุมน่านฟ้าได้อย่างที่หวัง แผนนี้ก็ต้องถูกเลื่อนและสุดท้ายก็ยกเลิกไป ช่วงที่เยอรมนีโจมตีต่อเนื่องในเมืองต่าง ๆ ของอังกฤษ จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะไม่สามารถทำลายกำลังป้องกันของอังกฤษได้อย่างเด็ดขาด

ชื่อของยุทธการนี้มาจากคำปราศรัยของวินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่กล่าวถึงความสำคัญของการต่อสู้นี้ว่าเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของอังกฤษและเสรีภาพของยุโรปทั้งหมด RAF ต้องเจอปัญหาหนักตั้งแต่ช่วงต้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักบินและเครื่องบินที่ไม่พอ แต่พอเริ่มปรับกลยุทธ์ได้ การป้องกันก็แข็งแกร่งขึ้น และสามารถตอบโต้การโจมตีของลุฟท์วาฟเฟอได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สองฝั่งมีแนวทางการรบที่ต่างกัน ลุฟท์วาฟเฟอเน้นการทิ้งระเบิดแบบผสม ทั้งเป้าหมายทางทหารและเพื่อทำลายขวัญประชาชน แต่แม้จะเริ่มต้นได้ดี ฝั่งเยอรมนีก็ไม่สามารถครองน่านฟ้าได้จริง และต้องเจอกับความสูญเสียทั้งเครื่องบินและกำลังพลจำนวนมาก
เมื่อสิ้นสุดยุทธการ อังกฤษก็เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งนับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ครั้งแรกของเยอรมนีในสงครามนี้ และช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าพลังทางอากาศสามารถตัดสินผลของสงครามได้จริง ๆ
ยุทธการนี้ยังคงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่แค่เพราะเหตุผลทางทหาร แต่เพราะมันสร้างความสามัคคีในหมู่ชาวอังกฤษ และแสดงถึงความกล้าหาญที่ยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพนาซี ปัจจุบันก็ยังมีอนุสรณ์ พิพิธภัณฑ์ และงานศิลปะมากมายที่รำลึกถึงเหตุการณ์นี้ เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนแห่งชาติอังกฤษไปแล้ว