February 18, 2025

ขบวนมรณะที่บาตาน(สงครามโลกครั้งที่2)

0

“การเดินทัพบาตาน” คือการเดินทัพที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์ ยาวประมาณ 66 ไมล์ (106 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้เชลยศึกจำนวน 76,000 คน (เป็นชาวฟิลิปปินส์ 66,000 คนและชาวอเมริกัน 10,000 คน) ต้องเดินเท้าในเดือนเมษายน ค.ศ. 1942 ช่วงแรก ๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2

เชลยศึกเริ่มออกเดินเท้าจากเมืองมาริเวเลส ทางใต้สุดของคาบสมุทรบาตานในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1942 เดินทัพไปทางเหนือถึงเมืองซาน เฟอร์นันโด จากนั้นขึ้นรถไฟที่แออัดและไม่มีความสะอาดเพื่อไปยังเมืองคาปาส และเดินเท้าต่ออีก 7 ไมล์ (11 กิโลเมตร) จนถึงค่ายโอ’ดอนเนลล์ ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกทหารของฟิลิปปินส์ที่ถูกญี่ปุ่นยึดไว้เป็นที่คุมขังเชลยฟิลิปปินส์และอเมริกัน ระหว่างการเดินทัพหลักที่กินเวลา 5-10 วัน ขึ้นอยู่กับจุดที่เชลยถูกบังคับให้เริ่มเดิน ผู้ถูกคุมขังต้องเผชิญกับการถูกทุบตี ถูกยิง ถูกแทง และในหลายกรณีถูกตัดหัว จำนวนมากที่เดินทางไปถึงค่ายก็เสียชีวิตจากความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บ ในที่สุดมีเพียงเชลย 54,000 คนที่ไปถึงค่ายได้ ซึ่งเชื่อว่ามีชาวฟิลิปปินส์ประมาณ 2,500 คนและชาวอเมริกัน 500 คนเสียชีวิตระหว่างเดินทัพ และอีกประมาณ 26,000 ชาวฟิลิปปินส์กับ 1,500 ชาวอเมริกันเสียชีวิตที่ค่ายโอ’ดอนเนลล์

หลังจากทหารญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เพิร์ลฮาเบอร์ในฮาวายเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ได้ไม่นาน ญี่ปุ่นก็เริ่มโจมตีฟิลิปปินส์โดยทิ้งระเบิดใส่สนามบิน ฐานทัพ ท่าเรือ และอู่ต่อเรือ เมืองหลวงมะนิลา ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวที่เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสำหรับญี่ปุ่นในการเติมเสบียงเพื่อวางแผนยึดครองแปซิฟิกตอนใต้ หลังจากทิ้งระเบิดแล้ว ทหารญี่ปุ่นกว่า 43,000 นายจากกองทัพที่ 14 ได้ขึ้นฝั่งที่เกาะลูซอนในฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม

ในขณะนั้น นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของฝ่ายพันธมิตรในแปซิฟิก แจ้งไปยังวอชิงตัน ดี.ซี. ว่าเขาพร้อมรับมือกับการรุกรานนี้ด้วยกำลังทหาร 130,000 นาย แต่ความจริงคือ กองทัพที่เขามีนั้นมีแต่ทหารฟิลิปปินส์ที่ฝึกมาไม่ดีและขาดอุปกรณ์ ทหารอเมริกัน 22,000 นายที่รวมกันอย่างลวก ๆ มีทั้งทหารที่ไม่เคยผ่านสนามรบ ทหารปืนใหญ่ นักบินและทีมภาคพื้นดินที่ไม่มีเครื่องบิน รวมถึงทหารเรือที่ไม่ได้ประจำเรือเพราะเรือถูกทิ้งระเบิดที่มะนิลาหรือถูกทำลายไปหมดแล้ว บนชายหาดที่ญี่ปุ่นขึ้นฝั่งมา ทหารญี่ปุ่นสามารถเอาชนะฝ่ายป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แมคอาเธอร์ต้องสั่งถอยร่นเข้าสู่คาบสมุทรบาตาน ซึ่งเป็นผืนดินขนาดเล็กทางฝั่งตะวันตกของเกาะลูซอนตรงข้ามอ่าวมะนิลา ที่มีภูเขาสูงอยู่กลางคาบสมุทร

แมคอาเธอร์วางแผนถอยร่นไว้ไม่ดี ทำให้ต้องทิ้งข้าวสาร กระสุน และเสบียงจำนวนมหาศาลไว้ข้างหลัง การรบที่บาตานเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1942 และเกือบจะทันทีที่เริ่มสู้ ฝ่ายป้องกันก็ต้องลดเสบียงลงครึ่งหนึ่ง ทหารเหล่านี้ที่ป่วยเป็นไข้มาลาเรีย ไข้เด็งกี และโรคภัยอื่น ๆ ต้องอยู่กันอย่างอดอยาก มีอาหารแค่เนื้อสัตว์ป่ากับข้าวเพียงไม่กี่เม็ด และไม่มีการสนับสนุนทางอากาศหรือทางทะเลเลย แต่ถึงแม้ว่าจะลำบากเพียงใด ทหารฟิลิปปินส์และอเมริกันก็ยังต้านทานการบุกของญี่ปุ่นในคาบสมุทรนี้ได้นานถึง 99 วัน แม้ว่าจะต้องยอมแพ้ในที่สุด การต้านทานอย่างดุเดือดนี้เป็นชัยชนะทางจิตวิทยาสำหรับสหรัฐฯ ที่ทำให้เห็นว่ากองทัพญี่ปุ่นไม่ใช่กองกำลังที่ไร้เทียมทานอย่างที่คิด”

“จากสถานการณ์ทั้งหมดนี้ การเดินทัพบาตานจึงเกิดขึ้น โดยชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ที่เคยผ่านเหตุการณ์มาเอง การเดินทัพบังคับเริ่มขึ้นประมาณสองสัปดาห์หลังจากนายพล เอ็ดเวิร์ด (“เนด”) คิง ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ที่บาตาน ยอมจำนนในวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1942 พร้อมกับทหารหลายพันคนที่ป่วย อ่อนแรง และอดอยาก การสู้รบบาตานเป็นสมรภูมิทางบกครั้งแรกของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 และถือเป็นหนึ่งในความพ่ายแพ้ทางการทหารที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา กองทัพบาตานซึ่งประกอบด้วยทหารฟิลิปปินส์และอเมริกันราว 76,000 คน กลายเป็นกองกำลังภายใต้การนำของอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดที่ยอมจำนน

ผู้นำทหารญี่ปุ่นคาดการณ์จำนวนเชลยศึกผิดไปมาก และจึงขาดการเตรียมการด้านเสบียงและการจัดการสำหรับเชลยจำนวนมหาศาล หลังข่าวการยอมจำนนของคิงแพร่ออกไป ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรหลายกลุ่มก็ทยอยมอบตัว ซึ่งในช่วงนี้เองที่เกิดเหตุการณ์อำมหิตขึ้นครั้งแรก เมื่อทหารญี่ปุ่นสังหารนายทหารฟิลิปปินส์ 350–400 นายทันที หลังจากที่เชลยศึกถูกจับตัวเป็นกลุ่มกระจัดกระจายไปทั่วคาบสมุทร ทหารญี่ปุ่นจึงสั่งให้เชลยศึกเดินเท้าขึ้นไปทางชายฝั่งตะวันออกของบาตาน เข้าสู่ถนนหลัก ก่อนจะจัดขบวนบังคับให้เดินเท้าขึ้นเหนือไปยังสถานีรถไฟที่เมืองซาน เฟอร์นันโด

เชลยส่วนใหญ่เริ่มต้นเดินทัพระยะไกลจากเมืองมาริเวเลส ที่ปลายสุดของคาบสมุทรบาตาน และต้องเดินทางไกล 66 ไมล์ไปยังสถานีรถไฟ บางกลุ่มถูกบังคับให้เข้าร่วมเดินระหว่างทาง สิ่งที่เชลยศึกเหล่านี้ต้องเผชิญตลอดทางคือทหารญี่ปุ่นที่ถือว่าการยอมจำนนนั้นเป็นเรื่องน่าอับอาย และเชลยศึกเป็นเพียงสิ่งของในสงครามที่มีไว้ใช้งานเท่านั้น ทหารญี่ปุ่นทำร้ายเชลยเหล่านี้ตลอดการเดินทัพ บางครั้งก็เพื่อบังคับให้เดินเร็วขึ้น บางครั้งก็ทำไปเพื่อความสนุก เชลยจำนวนมากที่ผ่านการรบมานั้นหมดเรี่ยวแรงและไม่สามารถเดินตามจังหวะที่หนักหน่วงได้ ยิ่งในสภาพอากาศร้อนจัดและไม่มีน้ำดื่ม หากใครหมดแรงล้มลงเพราะเหนื่อยล้าหรือป่วย ถูกทิ้งห่างจากขบวน หรือพยายามแอบไปดื่มน้ำหรือหลบหนี พวกเขาจะถูกแทง ยิง หรือไม่ก็ถูกตัดหัว บางคนที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาเดินต่อในเช้าวันถัดไป จะถูกฝังทั้งเป็นหรือถูกทุบจนเสียชีวิตด้วยจอบของเพื่อนเชลยที่ถูกบังคับให้ขุดหลุมฝังศพไปตลอดทาง

เมื่อเชลยศึกเดินไปถึงสถานีรถไฟที่ซาน เฟอร์นันโด พวกเขาถูกยัดเข้าไปในรถไฟขนสินค้าเล็ก ๆ ซึ่งรองรับได้แค่ 40 คน แต่มีเชลยถูกยัดเข้าไปถึง 100 คน อากาศในรถที่ร้อนอบอ้าวทำให้มีเชลยหลายร้อยคนเสียชีวิตขณะยืนอยู่ตรงนั้น และหลังจากที่เดินทัพอีกระยะหนึ่ง เชลยที่อ่อนล้าและหิวโหยก็ถูกต้อนเข้าสู่ค่ายกักกัน ที่หนึ่งเป็นของทหารฟิลิปปินส์และอีกที่เป็นของทหารอเมริกัน ค่ายเหล่านี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ณ สถานที่ฝึกทหารเก่าชื่อค่ายโอ’ดอนเนลล์ ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม ค.ศ. 1942 มีทหารหลายพันคนเสียชีวิตในค่ายจากโรคภัยและความอดอยาก ในช่วงเวลานั้นเชลยอเมริกันถูกแบ่งออกไปทำงานบังคับ ถูกส่งไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วฟิลิปปินส์เพื่อสร้างสนามบินและถนน และในเดือนตุลาคม เชลยฟิลิปปินส์ถูกปล่อยตัว

ไม่มีใครทราบจำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่ชัดระหว่างการเดินทัพและการกักขัง เชื่อว่าในระหว่างการเดินทัพมีทหารอเมริกันเสียชีวิตราว 500 นาย และทหารฟิลิปปินส์เสียชีวิตประมาณ 2,500 นาย ที่ค่ายโอ’ดอนเนลล์มีทหารฟิลิปปินส์เสียชีวิตราว 26,000 นาย และทหารอเมริกันราว 1,500 นาย รวมทั้งหมดจากทหารอเมริกันราว 22,000 นายที่ถูกจับตัวโดยทหารญี่ปุ่นที่บาตาน มีเพียงประมาณ 15,000 คนเท่านั้นที่ได้กลับสหรัฐฯ คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เชลยฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกจับโดยนาซีและฝ่ายอักษะอื่น ๆ มีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น”

About The Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *