ขุนวรวงศาธิราช ชู้รักแม่หยัวศรีสุดาจันทร์

ขุนวรวงศาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา แม้ว่านักประวัติศาสตร์บางกลุ่มจะไม่ยอมรับสถานะกษัตริย์ของพระองค์ ด้วยเหตุที่ทรงขึ้นครองราชย์ผ่านการแย่งชิงอำนาจร่วมกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่าได้มีการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ และในปี พ.ศ. 2549 ก็มีการกล่าวพระนามในบทบวงสรวงสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราช ซึ่งแสดงให้เห็นว่าขุนวรวงศาธิราชนับเป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งของอยุธยา
พระนามเดิมของพระองค์คือ บุญศรี มีชาติกำเนิดในตระกูลอำมาตย์หรือพราหมณ์ เดิมดำรงตำแหน่งพันบุตรศรีเทพ ทำหน้าที่เฝ้าหอพระข้างหน้าและเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ขับเสภากล่อมสมเด็จพระไชยราชาธิราช นำไปสู่การได้เข้าเขตพระราชฐานและทำให้พบกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ ผู้สำเร็จราชการแทนสมเด็จพระยอดฟ้า ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลับระหว่างทั้งสอง
จากความลุ่มหลงในตัวพันบุตรศรีเทพ แม่หยัวศรีสุดาจันทร์จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนชินราช แล้วต่อมาเป็นขุนวรวงศาธิราช พร้อมจัดสรรตำแหน่ง อำนาจ และจวนไว้ให้ว่าราชการเหมือนพระมหากษัตริย์ ความเคลื่อนไหวนี้สร้างความไม่พอใจในหมู่ขุนนาง โดยเฉพาะหลังจากแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ร่วมมือกับขุนวรวงศาธิราชลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระยอดฟ้า

ในปี พ.ศ. 2091 ขุนวรวงศาธิราชได้เข้ารับราชาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างเป็นทางการ พร้อมสถาปนาน้องชายเป็นพระมหาอุปราช แต่การขึ้นครองราชย์ของพระองค์ไม่ได้รับการยอมรับจากขุนนางในราชสำนัก รวมถึงพระญาติวงศ์บางส่วน จนนำไปสู่การวางแผนโค่นอำนาจโดยขุนพิเรนทรเทพและพันธมิตร ซึ่งร่วมกันสังหารอุปราชจัน และลอบปลงพระชนม์ขุนวรวงศาธิราชที่คลองสระบัว
พระองค์สวรรคตเมื่อมีพระชนมายุเพียง 22 พรรษา ช่วงเวลาที่ทรงครองราชย์ยังคงมีความคลาดเคลื่อนระหว่างแหล่งข้อมูล บางแห่งระบุเพียง 5 เดือน บางแห่งว่า 2 ปี พระบรมศพของพระองค์ถูกประจานและกล่าวกันว่าถูกโยนให้สุนัขกัดกิน เป็นจุดจบที่โหดร้ายสะท้อนให้เห็นถึงความปั่นป่วนแห่งราชสำนักในยุคนั้น
เรื่องราวของขุนวรวงศาธิราชเป็นบทเรียนสำคัญในประวัติศาสตร์อยุธยา ว่าด้วยอำนาจ ความรัก และการทรยศที่สามารถเปลี่ยนบุคคลธรรมดาให้ขึ้นครองบัลลังก์—แต่ก็นำพาสู่จุดจบอย่างรวดเร็วและโหดร้ายเช่นกัน