June 12, 2025

ประวัติศาสตร์ การล่าแม่มด

0

การล่าแม่มดในยุโรปและอาณานิคมของยุโรปเกิดขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึง 18 โดยมีแรงผลักดันมาจากความกลัวเรื่องเวทมนตร์คาถาและความนอกรีต คำว่า “ล่าแม่มด” ในปัจจุบันมักถูกใช้ในเชิงการเมือง เพื่ออธิบายถึงการรณรงค์หาคนที่ถูกมองว่าเป็นภัย อย่างกรณีของวุฒิสมาชิกโจเซฟ แม็กคาร์ธี ที่พยายามเปิดโปงคอมมิวนิสต์ในยุคปี 1950 การล่าแม่มดเริ่มจากความกลัวไร้เหตุผลผสมกับทัศนคติแบบต้องการลงโทษ โดยเฉพาะตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ที่เริ่มมีการเชื่อมโยงเวทมนตร์กับความนอกรีตและซาตาน

ผู้คนในยุคนั้นเชื่อว่าแม่มดคือคนที่ปฏิเสธพระคริสต์ บูชาปีศาจ และก่ออาชญากรรมชั่วร้ายหลายอย่าง เช่น ร่วมประเวณีกับปีศาจ หรือทำร้ายเด็ก ถึงแม้ความเชื่อพวกนี้จะมาจากความกลัว แต่ส่วนใหญ่ก็เกินจริงมาก แม้ว่าจะมีบางคนที่ฝึกเวทมนตร์อันตรายจริง แต่ภาพลักษณ์ “แม่มด” แบบที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่เคยมีอยู่จริง การไต่สวนแม่มดเกิดขึ้นจากกรอบคิดด้านกฎหมายและศาสนา ซึ่งมักดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ทางศาสนาและตุลาการในพื้นที่ ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญจริงจัง แต่กลับเชื่อมั่นว่าแม่มดมีอยู่จริง

งานวิจัยในช่วงหลังเผยให้เห็นว่า ความกลัว ความระแวง และการกล่าวหา มักเกิดขึ้นในระดับชุมชน จากความขัดแย้งส่วนตัว เหตุโชคร้ายที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือความตึงเครียดในสังคม เช่น ภายในครอบครัวหรือการเมืองท้องถิ่น ความกลัวต่อเวทมนตร์ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม การกล่าวหาแม่มดจึงมักมาจากความขัดแย้งส่วนบุคคลและความวิตกต่อความมั่นคงในชีวิตประจำวัน

ประวัติศาสตร์ของการล่าแม่มดมีรูปแบบคล้ายกับการกล่าวหาคนเป็นพวกนอกรีตในยุคก่อน และยังทับซ้อนกับการเลือกปฏิบัติต่อคนชายขอบ การดำเนินการทางกฎหมายและคำสอนของศาสนจักรต่อพวกนอกรีตเป็นรากฐานของการล่าแม่มดในเวลาต่อมา โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าฆ่าเด็กหรือทำพิธีลับกับปีศาจ ซึ่งก็มีมาก่อนแล้วในยุคซีเรียและโรมันโบราณ

ระหว่างปี 1300 ถึง 1500 เป็นช่วงเริ่มต้นของการไต่สวนแม่มดอย่างจริงจัง ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากคำประกาศของพระสันตะปาปาและหนังสืออย่าง “Malleus Maleficarum” หรือ “ค้อนแห่งแม่มด” ที่กล่าวโทษผู้หญิงเป็นหลัก หนังสือนี้ถูกใช้แพร่หลายและจุดชนวนให้เกิดการดำเนินคดีมากมาย

ช่วงที่การล่าแม่มดรุนแรงที่สุดคือระหว่างปี 1580 ถึง 1630 ซึ่งมีการไต่สวนและประหารชีวิตหลายพันราย แม้ตัวเลขจริงจะน้อยกว่าที่เล่ากันก็ตาม ข้อกล่าวหามักเริ่มจากความขัดแย้งในท้องถิ่น ไม่ใช่การสอบสวนอย่างเป็นทางการ การล่าแม่มดส่วนใหญ่เกิดเฉพาะในพื้นที่เล็กๆ บางภูมิภาคในยุโรปโดนมาก บางที่เช่นสเปน กลับโดนน้อย เพราะระบบราชการของศาลสืบสวนเข้มแข็งกว่า

การไต่สวนแม่มดที่เซเล็มในนิวอิงแลนด์ ถึงจะเกิดขึ้นทีหลัง แต่ก็มีลักษณะคล้ายกันคือมาจากความตึงเครียดในท้องถิ่นและความตื่นตระหนก ผู้ที่มีส่วนร่วมในการล่าแม่มด ได้แก่ นักเทววิทยา ผู้ร่างกฎหมาย และระบบศาลในยุคนั้น ทั้งโปรเตสแตนต์และคาทอลิกต่างก็มีบทบาท ความกลัวแม่มดยิ่งเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กับแนวคิดเรื่องศีลธรรมส่วนบุคคลในยุคการปฏิรูปศาสนา ทำให้เกิดการมองคนแบบสุดขั้วว่าเป็น “ดี” หรือ “เลว” ซึ่งยิ่งทำให้คนไม่ไว้ใจกัน

กระบวนการยุติธรรมในเวลานั้นมักเปิดทางให้ใช้การทรมานเพื่อบีบบังคับให้รับสารภาพ ซึ่งนำไปสู่การกล่าวหากันเป็นทอดๆ ทำให้คนบริสุทธิ์จำนวนมากถูกลากเข้าไปในคดี การไต่สวนแบบนี้เกิดขึ้นทั้งในศาลศาสนาและศาลพลเรือน โดยทั่วไปแล้ว หากมีอำนาจส่วนกลางที่เข้มแข็ง การกล่าวหามักจะน้อยลงและบทลงโทษไม่รุนแรงเท่าไหร่ แม้ศาสนจักรและรัฐจะพยายามควบคุมการไล่ล่าแม่มด แต่ศาลท้องถิ่นกลับทำตามความกลัวและความระแวง ทำให้วงจรของการกล่าวหาและประหารยังดำเนินต่อไปและสร้างบาดแผลในสังคมนานนับศตวรรษ

About The Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *