ซาลาดิน ขอคืนเยรูซาเล็ม

เยรูซาเล็ม เมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม ถูกกองทัพครูเสดครั้งแรกยึดครองในปี ค.ศ. 1099 ตอนนั้นกองทัพมุสลิมยังไม่ค่อยเป็นระบบ แต่พวกเขาก็มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะต้องเอาเมืองกลับคืนมาให้ได้ ซาลาดิน ซึ่งเป็นสุลต่านแห่งอียิปต์และซีเรีย ก็สามารถรวมอาณาจักรอิสลามให้เป็นหนึ่งเดียว และเอาชนะพวกครูเสดได้ที่ยุทธการฮัตตินในปี ค.ศ. 1187 แล้วก็สามารถยึดเยรูซาเล็มกลับมาได้สำเร็จ วิธีของซาลาดินต่างจากพวกครูเสดที่ใช้ความโหดร้าย เขาเลือกใช้ความเมตตาแทน จนได้รับความเคารพจากทั้งมุสลิมและคริสเตียน
ในศตวรรษที่ 11 การที่พวกเติร์กเซลจุกเรืองอำนาจขึ้นมาทำให้จักรวรรดิไบแซนไทน์เสียอำนาจในเอเชียไมเนอร์ไปมาก โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเติร์กชนะศึกที่มานซิเคิร์ตในปี ค.ศ. 1071 แม้ภายหลังพวกเติร์กจะกระจายอำนาจออกเป็นรัฐย่อย ซาลาดินก็ใช้เวลากว่า 20 ปีต่อสู้กับพวกครูเสด และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือในปี ค.ศ. 1187 จักรพรรดิอเล็กซิออสที่ 1 แห่งไบแซนไทน์ถึงขั้นขอความช่วยเหลือจากสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 จนเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครูเสดครั้งแรก ที่มีเหล่าอัศวินจากยุโรปยกทัพมายึดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจบลงด้วยการสังหารหมู่ชาวเยรูซาเล็ม

ถึงแม้ตอนแรกฝ่ายมุสลิมจะตอบโต้ไม่ได้เท่าที่ควร แต่พวกเขาก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองเพื่อเตรียมทวงเมืองคืน โดยมีราชวงศ์เซงกิดเป็นผู้นำ หลังจากที่นูร์ อัด-ดิน เสียชีวิต ซาลาดินก็รับหน้าที่ต่อ ในปี ค.ศ. 1187 มีอัศวินครูเสดไปโจมตีขบวนคาราวานของชาวมุสลิม ซาลาดินเลยตอบโต้ด้วยการเปิดศึกฮัตตินจนฝ่ายครูเสดพ่ายแพ้ยับเยิน
หลังชนะศึก ซาลาดินก็ยึดพื้นที่ชายฝั่งเลแวนต์ได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกครูเสดละทิ้งป้อมปราการไว้เกือบหมด ชาวบ้านหลายพื้นที่ก็ลุกฮือต่อต้านพวกครูเสด และยินดีต้อนรับซาลาดิน ซาลาดินเองก็ใช้กลยุทธ์พยายามเจรจาขอยอมแพ้จากเมืองต่าง ๆ แม้บางครั้งจะเจออุปสรรคอยู่บ้าง
พอเข้าใกล้เยรูซาเล็ม ซาลาดินก็พยายามเข้าเมืองอย่างสงบ โดยเสนอเงื่อนไขที่ใจกว้าง แต่พวกป้องกันเมืองไม่ยอมรับ ข้างในเมืองมีบาเลียนแห่งอิเบลินเป็นผู้คุมป้องกัน แต่สุดท้ายก็ทนสถานการณ์ไม่ไหว จนต้องยอมเจรจาขอยอมแพ้ ซาลาดินตัดสินใจไม่สังหารหมู่คนในเมือง และยอมให้ชาวเมืองออกไปพร้อมทรัพย์สินของตนได้ตามเงื่อนไขเรื่องค่าไถ่

เมื่อซาลาดินเข้าเยรูซาเล็มในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1187 เขาได้ทำความสะอาดมัสยิดอัลอักซา เอาของที่พวกครูเสดเอามาวางออก แล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นสถานที่ละหมาดอีกครั้ง โบสถ์คริสต์บางแห่งก็ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิด แต่ชาวคริสต์พื้นเมืองยังคงได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อได้ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ซาลาดินต้องการปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และแสดงให้เห็นวิธีการที่แตกต่างจากพวกครูเสด
การเสียเยรูซาเล็มทำให้ยุโรปตกตะลึง หลายคนมองว่าซาลาดินคือบทลงโทษจากพระเจ้าที่มีต่อพวกครูเสด ถึงแม้ก่อนหน้านั้นฝ่ายมุสลิมจะเจอปัญหามากมาย แต่ชัยชนะของซาลาดินก็ช่วยฟื้นขวัญกำลังใจอย่างมาก ฝ่ายครูเสดก็ไปรวมตัวกันที่เมืองไทร์ และเริ่มต้นสงครามครูเสดครั้งที่สาม โดยมีกองทัพจากอังกฤษและฝรั่งเศส แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถยึดเยรูซาเล็มกลับคืนได้
สรุปคือ ชัยชนะของซาลาดินที่ฮัตตินและการยึดเยรูซาเล็มกลับมาได้ กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของสงครามครูเสด แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของเขาในการปกป้องศาสนาอิสลาม แม้จะไม่สามารถขับไล่ครูเสดออกไปได้ทั้งหมด แต่เขาก็ทำให้พวกนั้นอ่อนกำลังลงอย่างมาก และกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพทั้งในหมู่มุสลิมและคริสเตียน การที่เขาปฏิบัติต่อชาวเยรูซาเล็มอย่างมีมนุษยธรรม ก็ยิ่งเสริมสร้างชื่อเสียงของเขาให้ยิ่งใหญ่ขึ้น ต่างจากความโหดร้ายในครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง